วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ
How to Excel in English
(Master Jonathan's tactics)
A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว
Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now!
To start with, there are six ways to a better vocabulary :
การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น
1. Experience : ประสบการณ์
You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else.
เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2. Reading : การอ่าน
You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based on interests, hobby, vocation , etc. Reading is one of the chef tools in broadening your background.
เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา
3. Dictionary : พจนานุกรม
You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner.
เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ
4. Notebook : สมุดบันทึก
After collecting words, you are to keep a neat record of new words in your
notebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy.
หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ
5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์
You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English.
เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค) รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ
6. Word-games : เกมคำศัพท์
Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc.
All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English.
เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น
ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ
วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง ในสไตล์ของ แอนดรูว์ บิ๊กส์
กฎง่ายๆ10ข้อ(แถมอีก1ข้อ)สำหรับคนไทย เพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้(เหมือนที่ฝรั่งพูด)
ทำไมต้องเหมือนที่ฝรั่งพูด
ตัวอย่างที่คนไทยพูด เช่นเมื่อครูเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า"Good morning" ครูจะตอบว่า"Good morning"
นักเรียนพูดต่อว่า"How are you" ครูตอบว่า"Fine thanks,And you"
นักเรียนทุกคนตอบว่า "Fine thanks." แล้วนั่งลง
ทั้งหมดข้งบนนั้น ฝรั่งอย่างแอนดรูว์ บิ๊กส์ บอกว่า นอกจากเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษแบบนี้ในโลก
ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าจะถามว่า"คุณสบายดีไหม" เขาใช้ประโยคนี้"How are you doing?"คนอังกฤษใช้คำว่า"How are you going?"
ดังนั้น เขาจึงสรุปให้เรารู้ว่า ภาษาอังกฤษที่คุณเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่คุณเจอในชีวิตจริง แอนดรูว์ บิ๊กส์ ใช้ประสบการณ์ของตัวเอง
ตั้งกฎขึ้นมา 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) เพื่อมาแนะนำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษเหมือนที่ฝรั่งพูด
ในกฎแต่ละข้อ มีคำแนะนำ เหตุผลพร้อมตัวอย่างนำมาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และหยิกคนไทยได้แสบๆคันๆพอสมควร
กฎ 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) ของแอนดรูว์ บิ๊กส์ มีดังนี้
1.RULE NUMBER ONE - FORGET THE RULES(ลืมกฎซะเถอะ)
การพูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อแรกคือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2
2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES(จงพูดผิด)
การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย
3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE(ห้ามแปลตรงตัว)
เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม
4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE(ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ
5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)
เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ
"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย
วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋าว"
6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย
7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"
8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS(เดา)
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้
ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป
9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้
11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)
ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน
รวมข้อข้องใจกับความหมายในภาษาอังกฤษ
ทำอะไรอย่างรีบร้อน "change horses in midstream"
สำนวนนี้อุทิศให้ทุกท่านซึ่งมีเจ้านายที่ชอบเปลี่ยนใจบ่อยจนจะเกิดความรู้สึก น่ารำคาญ เช่นที่เริ่มทำโครงการที่นายสั่งมาและก็หมดไปครึ่งหนึ่งปุ๊บ นายก็เปลี่ยนใจอยากจะให้คุณทำอีกทางหนึ่ง ทำให้โครงการนั้นยุ่งๆ ไปหมด นี่คือความหมายของสำนวน to change horses in midstream
ถ้าจะแปลตรงตัวหมายถึง สลับขี่ม้าตอนอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ทั้งๆ ที่ควรรอข้ามแม่น้ำก่อนที่จะสลับขี่ม้า นึกออกไหมครับ ความหมายคือ ทำอะไรอย่างรีบร้อน อย่างกะทันหัน โดยที่ควรรอจังหวะเวลาที่ดีกว่านี้ บางครั้งให้ความหมายว่า เปลี่ยนใจ เช่น Sorrayut wanted to shave his head,
but he changed horses in midstream. Now he wants to grow a beard. (ทีแรกสรยุทธอยากจะโกนหัวแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจโดยสิ้นเชิง
เขาอยากไว้เคราแทน)
ใจเย็นๆ Take it easy หรือ Please excuse me?
ถ้าเพื่อนกำลังอารมณ์เสีย/โกรธ อะไรบางอย่าง เราจะช่วยปลอบใจเขาให้เขาใจเย็นๆ ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่พูดอะไรเลยดีกว่า เพราะเวลาโกรธจัด ไม่มีคำพูดใดๆ สามารถช่วยทำให้ลดความโกรธนั้น (นอกจาก "Oh! Good news! You just won the lottery!") ควรหลบจนกว่าเขาจะหายโกรธดีกว่า ไม่ควรพูดกับคนกำลังโมโหว่า Take it easy. หรือ Dont be serious. นี่คือคำพูดคำสุดท้ายที่เราอยากจะฟังตอนที่เราหัวเสีย
Take it easy หมายถึงใจเย็นๆ ส่วน Dont be serious. ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ เป็นการใช้คำว่า serious อย่างไม่ถูกต้อง
สรุป ควรใช้คำพูดว่า Please excuse me. (ฉันขอตัวก่อน) และค่อยๆ กลับมาเมื่อเขาเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง
I know. กับ I do know.
คำว่า do มีสารพัดประโยชน์ในภาษาอังกฤษ คำว่า do ถูกใช้ในประโยคบอกเล่า เพื่อให้คำถามมีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนความหมาย I know แปลว่า
ผมรู้ I do know แปลว่า ผมรู้ เหมือนกัน แต่ I do know แสดงว่าผู้พูดมั่นใจว่าเขาทราบดี เช่น You're supposed to start work at 9 am.
(คุณต้องเริ่มทำงานเวลา 9 นาฬิกา) I do know that. (ก็รู้แล้วล่ะ)So why are you late then? (งั้นทำไมคุณมาสาย)
ในตัวอย่างนี้สามารถตอบว่า I know that. โดยไม่เสียความหมาย แต่การใช้ do ทำให้คำตอบนี้มีน้ำหนักในสิ่งที่คุณพูดแรงขึ้น หรือกวนๆ ขึ้น
ฝนตกปรอยๆ to rain lightly หรือ to shower
ฝนตกปรอยๆ นั้นภาษาอังกฤษใช้ to rain lightly หรือ to shower ซึ่ง showerใช้ในรูปคำนาม หรือกริยาก็ตาม เช่น It showered briefly
the day Kanok got married.(ฝนตกปรอยๆ วันที่กนกสมรส)
อาจใช้สำนวน to rain in dribs and drabs ซึ่งหมายถึง ฝนตกบ้าง ไม่ตกบ้าง ตกๆ หยุดๆ คงจะตรงกับคำไทยว่า ฝนตกประปราย
It rained in dribs and drabs the day Kanok got married.(ความหมายเดิม)
กรณีฝนตกหนัก คือตกแบบไม่ลืมหัวลืมตานั้นคือ to rain cats dogs เช่น It rained cats and dogs the day Sorrayut went to
Bang Saen.(ฝนตกหนักวันที่สรยุทธไปเที่ยวบางแสน)
งอน" และคำว่า "ง้อ"
คำว่า "งอน" กับ "ง้อ" อยู่ในกลุ่มคำภาษาไทยที่แปลยากมาก (คำอื่นๆ ในกลุ่มคำนี้มีรวมถึง เกรงใจ กับ หมั่นไส้) คำว่า petulantหมายถึง "งอน"
ใช้ได้ อย่างน้อยได้ถ่ายทอดอารมณ์งอนอย่างดี คำว่า "ง้อ" grovel เป็นคำที่รุนแรงเกินไป ถ้าเปรียบเทียบกับ "ง้อ"
to grovel ให้ความหมายว่า "เลียแข้งเลียขา" หรือ"หมอบคลานให้" ใครบางคนเพื่อที่จะได้อะไรบางอย่าง ความหมายนี้ไม่ตรงกับ "ง้อ"
want กับ would like
ant กับ would like ทั้งสองคำนี้แปลว่า ต้องการ ต่างกันที่ว่า would like ฟังแล้วสุภาพกว่า เหมาะกว่า เช่น What would you like
to drink ? (คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดี) ซึ่งฟังดีกว่า What do you want to drink ? ในรูปคำถามแล้ว Would you like …? กับ Do you want …?
ความหมายคือ คุณต้องการ อะไรบางอย่างไหม แต่ Would you like เหมาะสำหรับการชักชวน เช่น... Would you like to come home with me ?
(คุณอยากจะกลับบ้านกับผมไหม)
สรุปคือ would like กับ want เหมือนกับคำว่า "ต้องการ" กับ "เอา" ในภาษาไทย
R.I.P.
R.I.P. สามตัวอักษรนี้มักจะเจอในหินบนหลุมฝังศพ เป็นภาษาเขียนไม่ใช่ภาษาพูด ย่อมาจาก Rest In Peace เป็นสำนวนหมายถึง ขอให้หลับสบาย
อย่าใช้กับคนที่ยังไม่ได้สิ้นชีวิตนะครับ R.I.P.ใช้กับศพอย่างเดียว ไม่ใช่กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่
get on, get off
คำว่าขึ้นรถกับลงรถ และขึ้นเรือกับลงเรือ และขึ้นเครื่องบินกับลงเครื่องบินต่างกันหรือเหมือนกัน get on คือขึ้น, get off คือลง ใช้กับ รถเมล์ รถไฟ
เรือ เครื่องบิน จักรยาน อะไรก็ได้ที่ไม่เป็นรถเก๋งโดยมีข้อแม้ดังนี้
-สำหรับ รถเก๋งรวมถึงรถแท็กซี่กับรถตุ๊กตุ๊ก ให้ใช้ get into กับ get out of ในความหมายว่า ขึ้นรถ ลงรถ
-คำว่า board เมื่อถูกใช้เป็น กริยา หมายความว่า ขึ้นรถโดยสาร เช่น board a bus, board a train, board a plane
-คำว่า alight เมื่อเป็น กริยามีความหมายว่า ลง ใช้กับทุกอย่าง ยกเว้นเรือ ครับ
-สำหรับการ ลงจากเรือ เรามีคำว่า disembark ค่อนข้างเป็นภาษาทางการ
-คุณสามารถใช้คำว่า take หรือ catch ในความหมายว่า ขึ้น หรือใช้บริการรถโดยสาร ทุกประเภท เช่น take a train, catch a bus, take a plane,
catch a tuk-tuk, take a taxi
ดูแล to take somebody under (one's) wing
"He was the person who took me under his wing when I came here." เขาเป็นคนที่ดูแลฉันูเมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก
สำนวน to take somebody under (one's) wing หมายความว่า ดูแลหรือ take care ใครบางคน สำนวนทำให้เราคิดว่าตัวเองเป็นนกและเราใช้ปีกของเรามาคลุมนกตัวเล็ก ไม่ให้พบกับภัยอะไรเลย เช่น...I was scared when I first met Sorrayut but he took me under his wing
and now I'm nearly as talented as he is. (ผมกลัวตอนพบคุณสรยุทธเป็นครั้งแรกแต่เขาก็ดูแลสั่งสอนผมอย่างดีจนกระทั่งวันนี้ ผมเกือบจะเก่งพอๆ
กับเขา)If you hadn't taken me under your wing, I would be on the streets by now.(ถ้าคุณไม่ได้มาดูแลผม ผมก็คงเป็นคนเร่ร่อนในปัจจุบันนี้)
on time กับ in time
on time หมายถึง ตรงเวลา in time แปลว่า ภายในเวลาที่กำหนดไว้ Sorrayut is never on time. (สรยุทธไม่เคยตรงเวลา)
in time ความหมายคล้ายๆ กันเพียงแต่ว่าอาจจะเพิ่มความหมายตรงที่ว่า ไม่ใช่ ใช่ว่า เขาจะมาตรงเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะมาก่อนเวลาก็ได้ แต่ที่แน่คือเขา
จะไม่มาสาย เช่น Dont worry. Hell arrive in time. (ไม่ต้องกังวล เขาจะมาถึงภายในเวลาที่เรากำหนดไว้)
in time มีอีกความหมายหนึ่งคือ ในที่สุด หรือ ถ้าจะให้เวลาอีก
เช่น Hes not very good now. But in time, hell be okay. (ตอนนี้เขาไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าจะให้เวลาอีกเขาก็ต้องดีขึ้น) In time, you will be
excellent at English. (ในที่สุดคุณจะเก่งมากกับภาษาอังกฤษ)
a man of one word..
สำนวน a man of ones word หรือ a man of his word ้ ความหมายคือ คนนั้นซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ทำตามที่เขาสัญญา คำว่า word ที่นี่หมายถึง
สัญญา หรือสิ่งที่คุณได้ให้สัญญาเอาไว้ เช่น..I give you my word; I have never taken drugs. (ผมสาบานว่าไม่เคยเสพยาเสพติด) จากความหมายนี้
จึงได้ a man of his word หรือว่า ผู้ชายที่ทำตามสัญญา เช่น.Sorrayuts a man of his word. He said hed run naked down Silom Road if Manchester United beat Liverpool. (สรยุทธทำตามที่เขาสัญญาไว้ เขาเคยสาบานว่าจะแก้ผ้าวิ่งตามถนนสีลมถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล)
ตัวอย่างนี้เราสันนิษฐานว่าสรยุทธได้วิ่งแก้บนเรียบร้อยแล้วที่น่าสังเกตคือมีแต่ man of his word ไม่เคยได้ยินใครพูดถึง a woman of her word
Pass away, dead, die
to die แปลว่า ตาย , to pass away แปลว่า ตายเหมือนกัน แต่ to pass away เป็นภาษาทางการมากกว่า die เช่น My grandmother died last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมตาย) My grandmother passed away last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมเสียชีวิต) ทั้ง 2 ประโยคให้ความหมายเดียวกัน แต่ pass away ฟังแล้วนิ่มกว่า บางคนใช้ to pass on ซึ่งมีความหมายเดียวกับ pass away เช่น.Most World War II survivors have passed
on now.(ผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว)
dead เป็น adjective ใช้อธิบายอะไรที่เสียชีวิตแล้ว เช่น My pet rabbit is dead. (กระต่ายที่ผมเลี้ยงตาย) จะเห็นว่า dead ใช้เพื่ออธิบายสภาพของสิ่งนั้นคือ ตายไปแล้ว แต่ died ใช้เมื่อพูดถึงจุดใด จุดหนึ่งของเวลา ซึ่งสิ่งนั้นได้แปรสภาพจากสิ่งที่เป็น ไปยังสิ่งที่ไม่เป็นแล้ว
Say 'em loud, say'em clear
Say em loud กับ say em clear. คำว่า em นี้เป็นภาษาพูด ย่อมาจาก them แต่ถูกย่อลง เนื่องจากว่าพูดเร็วแถมไม่ใส่ใจเรื่องการออกเสียง
อย่างถูกต้อง คำว่า them ในสถานการณ์นี้ มีความหมายว่า คำพูด ประโยค Say em loud จึงให้ความหมายว่า พูดดังๆ และ Say em clear หมายถึง
ให้พูดชัดๆ
up to กับ no good
to be up to หมายถึง ทำ อะไรบางอย่าง เช่นในคำถามนิยมว่า What are you up to? (ทำอะไรอยู่) การใช้ up to อย่างนี้ให้ความหมายเป็นนัยว่า สิ่งที่กระทำอยู่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ถูก อาทิ คุณพ่อคุณแม่ใช้ What are you up to? กับลูกเวลาเขาเมื่อสงสัยว่าลูกกำลังแอบทำอะไรที่ไม่ดี หรือซน จากความหมายนี้เราสามารถเดาความหมายของ to be up to no good ซึ่งหมายถึง ทำอะไรที่ไม่ดี
ดังนั้น I knew by the look on his face he was up to no good. ให้ความหมายว่า ผมรู้จากการแสดงออกทางใบหน้าว่าเขาทำอะไรไม่ดี
envy กับ jealous.
envy กับ jealous ไม่เหมือนกันคือ jealous แรงกว่า envy เพราะ envy เป็นทั้งนามและกริยา ในตัวอย่างที่เป็นกริยา I envy you หมายถึง
ผมอิจฉาคุณ แต่ผมยังชอบคุณไม่ถึงเกลียด เช่น..I envy Sorrayut. Hes tall, handsome and he has a beautiful girlfriend.(ผมอิจฉาคุณ
สรยุทธ เขาตัวสูง รูปหล่อ และยังมีแฟนสวยงาม...)แต่ jealous นำมาใช้เป็นกริยาไม่ได้ จะใช้ I jealous you. ไม่ได้ ต้องเป็น I am jealous of you.
เพราะว่า jealous เป็น adjective ครับ คำนามคือ jealousy
สรุปว่า envy = verb + noun = อิจฉา envious = adjective = ซึ่งอิจฉา jealous = adjective = ซึ่งอิจฉา jealousy = ความอิจฉาริษยา
อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1362020#ixzz1EXrIPxV1
How to Excel in English
(Master Jonathan's tactics)
A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว
Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now!
To start with, there are six ways to a better vocabulary :
การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น
1. Experience : ประสบการณ์
You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else.
เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2. Reading : การอ่าน
You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based on interests, hobby, vocation , etc. Reading is one of the chef tools in broadening your background.
เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา
3. Dictionary : พจนานุกรม
You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner.
เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ
4. Notebook : สมุดบันทึก
After collecting words, you are to keep a neat record of new words in your
notebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy.
หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ
5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์
You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English.
เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค) รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ
6. Word-games : เกมคำศัพท์
Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc.
All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English.
เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น
ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ
วิธีพูดภาษาอังกฤษเหมือนฝรั่ง ในสไตล์ของ แอนดรูว์ บิ๊กส์
กฎง่ายๆ10ข้อ(แถมอีก1ข้อ)สำหรับคนไทย เพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้(เหมือนที่ฝรั่งพูด)
ทำไมต้องเหมือนที่ฝรั่งพูด
ตัวอย่างที่คนไทยพูด เช่นเมื่อครูเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนจะลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า"Good morning" ครูจะตอบว่า"Good morning"
นักเรียนพูดต่อว่า"How are you" ครูตอบว่า"Fine thanks,And you"
นักเรียนทุกคนตอบว่า "Fine thanks." แล้วนั่งลง
ทั้งหมดข้งบนนั้น ฝรั่งอย่างแอนดรูว์ บิ๊กส์ บอกว่า นอกจากเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษแบบนี้ในโลก
ที่สหรัฐอเมริกา ถ้าจะถามว่า"คุณสบายดีไหม" เขาใช้ประโยคนี้"How are you doing?"คนอังกฤษใช้คำว่า"How are you going?"
ดังนั้น เขาจึงสรุปให้เรารู้ว่า ภาษาอังกฤษที่คุณเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่คุณเจอในชีวิตจริง แอนดรูว์ บิ๊กส์ ใช้ประสบการณ์ของตัวเอง
ตั้งกฎขึ้นมา 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) เพื่อมาแนะนำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษเหมือนที่ฝรั่งพูด
ในกฎแต่ละข้อ มีคำแนะนำ เหตุผลพร้อมตัวอย่างนำมาเล่าได้อย่างสนุกสนาน และหยิกคนไทยได้แสบๆคันๆพอสมควร
กฎ 10 ข้อ(แถมอีก 1 ข้อ) ของแอนดรูว์ บิ๊กส์ มีดังนี้
1.RULE NUMBER ONE - FORGET THE RULES(ลืมกฎซะเถอะ)
การพูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อแรกคือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2
2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES(จงพูดผิด)
การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย
3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE(ห้ามแปลตรงตัว)
เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม
4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE(ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ
5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)
เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ
"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย
วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋าว"
6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย
7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"
8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS(เดา)
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้
ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป
9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้
11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)
ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน
รวมข้อข้องใจกับความหมายในภาษาอังกฤษ
ทำอะไรอย่างรีบร้อน "change horses in midstream"
สำนวนนี้อุทิศให้ทุกท่านซึ่งมีเจ้านายที่ชอบเปลี่ยนใจบ่อยจนจะเกิดความรู้สึก น่ารำคาญ เช่นที่เริ่มทำโครงการที่นายสั่งมาและก็หมดไปครึ่งหนึ่งปุ๊บ นายก็เปลี่ยนใจอยากจะให้คุณทำอีกทางหนึ่ง ทำให้โครงการนั้นยุ่งๆ ไปหมด นี่คือความหมายของสำนวน to change horses in midstream
ถ้าจะแปลตรงตัวหมายถึง สลับขี่ม้าตอนอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ทั้งๆ ที่ควรรอข้ามแม่น้ำก่อนที่จะสลับขี่ม้า นึกออกไหมครับ ความหมายคือ ทำอะไรอย่างรีบร้อน อย่างกะทันหัน โดยที่ควรรอจังหวะเวลาที่ดีกว่านี้ บางครั้งให้ความหมายว่า เปลี่ยนใจ เช่น Sorrayut wanted to shave his head,
but he changed horses in midstream. Now he wants to grow a beard. (ทีแรกสรยุทธอยากจะโกนหัวแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจโดยสิ้นเชิง
เขาอยากไว้เคราแทน)
ใจเย็นๆ Take it easy หรือ Please excuse me?
ถ้าเพื่อนกำลังอารมณ์เสีย/โกรธ อะไรบางอย่าง เราจะช่วยปลอบใจเขาให้เขาใจเย็นๆ ได้อย่างไรบ้าง ต้องไม่พูดอะไรเลยดีกว่า เพราะเวลาโกรธจัด ไม่มีคำพูดใดๆ สามารถช่วยทำให้ลดความโกรธนั้น (นอกจาก "Oh! Good news! You just won the lottery!") ควรหลบจนกว่าเขาจะหายโกรธดีกว่า ไม่ควรพูดกับคนกำลังโมโหว่า Take it easy. หรือ Dont be serious. นี่คือคำพูดคำสุดท้ายที่เราอยากจะฟังตอนที่เราหัวเสีย
Take it easy หมายถึงใจเย็นๆ ส่วน Dont be serious. ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ เป็นการใช้คำว่า serious อย่างไม่ถูกต้อง
สรุป ควรใช้คำพูดว่า Please excuse me. (ฉันขอตัวก่อน) และค่อยๆ กลับมาเมื่อเขาเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง
I know. กับ I do know.
คำว่า do มีสารพัดประโยชน์ในภาษาอังกฤษ คำว่า do ถูกใช้ในประโยคบอกเล่า เพื่อให้คำถามมีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนความหมาย I know แปลว่า
ผมรู้ I do know แปลว่า ผมรู้ เหมือนกัน แต่ I do know แสดงว่าผู้พูดมั่นใจว่าเขาทราบดี เช่น You're supposed to start work at 9 am.
(คุณต้องเริ่มทำงานเวลา 9 นาฬิกา) I do know that. (ก็รู้แล้วล่ะ)So why are you late then? (งั้นทำไมคุณมาสาย)
ในตัวอย่างนี้สามารถตอบว่า I know that. โดยไม่เสียความหมาย แต่การใช้ do ทำให้คำตอบนี้มีน้ำหนักในสิ่งที่คุณพูดแรงขึ้น หรือกวนๆ ขึ้น
ฝนตกปรอยๆ to rain lightly หรือ to shower
ฝนตกปรอยๆ นั้นภาษาอังกฤษใช้ to rain lightly หรือ to shower ซึ่ง showerใช้ในรูปคำนาม หรือกริยาก็ตาม เช่น It showered briefly
the day Kanok got married.(ฝนตกปรอยๆ วันที่กนกสมรส)
อาจใช้สำนวน to rain in dribs and drabs ซึ่งหมายถึง ฝนตกบ้าง ไม่ตกบ้าง ตกๆ หยุดๆ คงจะตรงกับคำไทยว่า ฝนตกประปราย
It rained in dribs and drabs the day Kanok got married.(ความหมายเดิม)
กรณีฝนตกหนัก คือตกแบบไม่ลืมหัวลืมตานั้นคือ to rain cats dogs เช่น It rained cats and dogs the day Sorrayut went to
Bang Saen.(ฝนตกหนักวันที่สรยุทธไปเที่ยวบางแสน)
งอน" และคำว่า "ง้อ"
คำว่า "งอน" กับ "ง้อ" อยู่ในกลุ่มคำภาษาไทยที่แปลยากมาก (คำอื่นๆ ในกลุ่มคำนี้มีรวมถึง เกรงใจ กับ หมั่นไส้) คำว่า petulantหมายถึง "งอน"
ใช้ได้ อย่างน้อยได้ถ่ายทอดอารมณ์งอนอย่างดี คำว่า "ง้อ" grovel เป็นคำที่รุนแรงเกินไป ถ้าเปรียบเทียบกับ "ง้อ"
to grovel ให้ความหมายว่า "เลียแข้งเลียขา" หรือ"หมอบคลานให้" ใครบางคนเพื่อที่จะได้อะไรบางอย่าง ความหมายนี้ไม่ตรงกับ "ง้อ"
want กับ would like
ant กับ would like ทั้งสองคำนี้แปลว่า ต้องการ ต่างกันที่ว่า would like ฟังแล้วสุภาพกว่า เหมาะกว่า เช่น What would you like
to drink ? (คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดี) ซึ่งฟังดีกว่า What do you want to drink ? ในรูปคำถามแล้ว Would you like …? กับ Do you want …?
ความหมายคือ คุณต้องการ อะไรบางอย่างไหม แต่ Would you like เหมาะสำหรับการชักชวน เช่น... Would you like to come home with me ?
(คุณอยากจะกลับบ้านกับผมไหม)
สรุปคือ would like กับ want เหมือนกับคำว่า "ต้องการ" กับ "เอา" ในภาษาไทย
R.I.P.
R.I.P. สามตัวอักษรนี้มักจะเจอในหินบนหลุมฝังศพ เป็นภาษาเขียนไม่ใช่ภาษาพูด ย่อมาจาก Rest In Peace เป็นสำนวนหมายถึง ขอให้หลับสบาย
อย่าใช้กับคนที่ยังไม่ได้สิ้นชีวิตนะครับ R.I.P.ใช้กับศพอย่างเดียว ไม่ใช่กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่
get on, get off
คำว่าขึ้นรถกับลงรถ และขึ้นเรือกับลงเรือ และขึ้นเครื่องบินกับลงเครื่องบินต่างกันหรือเหมือนกัน get on คือขึ้น, get off คือลง ใช้กับ รถเมล์ รถไฟ
เรือ เครื่องบิน จักรยาน อะไรก็ได้ที่ไม่เป็นรถเก๋งโดยมีข้อแม้ดังนี้
-สำหรับ รถเก๋งรวมถึงรถแท็กซี่กับรถตุ๊กตุ๊ก ให้ใช้ get into กับ get out of ในความหมายว่า ขึ้นรถ ลงรถ
-คำว่า board เมื่อถูกใช้เป็น กริยา หมายความว่า ขึ้นรถโดยสาร เช่น board a bus, board a train, board a plane
-คำว่า alight เมื่อเป็น กริยามีความหมายว่า ลง ใช้กับทุกอย่าง ยกเว้นเรือ ครับ
-สำหรับการ ลงจากเรือ เรามีคำว่า disembark ค่อนข้างเป็นภาษาทางการ
-คุณสามารถใช้คำว่า take หรือ catch ในความหมายว่า ขึ้น หรือใช้บริการรถโดยสาร ทุกประเภท เช่น take a train, catch a bus, take a plane,
catch a tuk-tuk, take a taxi
ดูแล to take somebody under (one's) wing
"He was the person who took me under his wing when I came here." เขาเป็นคนที่ดูแลฉันูเมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก
สำนวน to take somebody under (one's) wing หมายความว่า ดูแลหรือ take care ใครบางคน สำนวนทำให้เราคิดว่าตัวเองเป็นนกและเราใช้ปีกของเรามาคลุมนกตัวเล็ก ไม่ให้พบกับภัยอะไรเลย เช่น...I was scared when I first met Sorrayut but he took me under his wing
and now I'm nearly as talented as he is. (ผมกลัวตอนพบคุณสรยุทธเป็นครั้งแรกแต่เขาก็ดูแลสั่งสอนผมอย่างดีจนกระทั่งวันนี้ ผมเกือบจะเก่งพอๆ
กับเขา)If you hadn't taken me under your wing, I would be on the streets by now.(ถ้าคุณไม่ได้มาดูแลผม ผมก็คงเป็นคนเร่ร่อนในปัจจุบันนี้)
on time กับ in time
on time หมายถึง ตรงเวลา in time แปลว่า ภายในเวลาที่กำหนดไว้ Sorrayut is never on time. (สรยุทธไม่เคยตรงเวลา)
in time ความหมายคล้ายๆ กันเพียงแต่ว่าอาจจะเพิ่มความหมายตรงที่ว่า ไม่ใช่ ใช่ว่า เขาจะมาตรงเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะมาก่อนเวลาก็ได้ แต่ที่แน่คือเขา
จะไม่มาสาย เช่น Dont worry. Hell arrive in time. (ไม่ต้องกังวล เขาจะมาถึงภายในเวลาที่เรากำหนดไว้)
in time มีอีกความหมายหนึ่งคือ ในที่สุด หรือ ถ้าจะให้เวลาอีก
เช่น Hes not very good now. But in time, hell be okay. (ตอนนี้เขาไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าจะให้เวลาอีกเขาก็ต้องดีขึ้น) In time, you will be
excellent at English. (ในที่สุดคุณจะเก่งมากกับภาษาอังกฤษ)
a man of one word..
สำนวน a man of ones word หรือ a man of his word ้ ความหมายคือ คนนั้นซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ทำตามที่เขาสัญญา คำว่า word ที่นี่หมายถึง
สัญญา หรือสิ่งที่คุณได้ให้สัญญาเอาไว้ เช่น..I give you my word; I have never taken drugs. (ผมสาบานว่าไม่เคยเสพยาเสพติด) จากความหมายนี้
จึงได้ a man of his word หรือว่า ผู้ชายที่ทำตามสัญญา เช่น.Sorrayuts a man of his word. He said hed run naked down Silom Road if Manchester United beat Liverpool. (สรยุทธทำตามที่เขาสัญญาไว้ เขาเคยสาบานว่าจะแก้ผ้าวิ่งตามถนนสีลมถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล)
ตัวอย่างนี้เราสันนิษฐานว่าสรยุทธได้วิ่งแก้บนเรียบร้อยแล้วที่น่าสังเกตคือมีแต่ man of his word ไม่เคยได้ยินใครพูดถึง a woman of her word
Pass away, dead, die
to die แปลว่า ตาย , to pass away แปลว่า ตายเหมือนกัน แต่ to pass away เป็นภาษาทางการมากกว่า die เช่น My grandmother died last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมตาย) My grandmother passed away last night. (เมื่อคืนคุณยายของผมเสียชีวิต) ทั้ง 2 ประโยคให้ความหมายเดียวกัน แต่ pass away ฟังแล้วนิ่มกว่า บางคนใช้ to pass on ซึ่งมีความหมายเดียวกับ pass away เช่น.Most World War II survivors have passed
on now.(ผู้รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว)
dead เป็น adjective ใช้อธิบายอะไรที่เสียชีวิตแล้ว เช่น My pet rabbit is dead. (กระต่ายที่ผมเลี้ยงตาย) จะเห็นว่า dead ใช้เพื่ออธิบายสภาพของสิ่งนั้นคือ ตายไปแล้ว แต่ died ใช้เมื่อพูดถึงจุดใด จุดหนึ่งของเวลา ซึ่งสิ่งนั้นได้แปรสภาพจากสิ่งที่เป็น ไปยังสิ่งที่ไม่เป็นแล้ว
Say 'em loud, say'em clear
Say em loud กับ say em clear. คำว่า em นี้เป็นภาษาพูด ย่อมาจาก them แต่ถูกย่อลง เนื่องจากว่าพูดเร็วแถมไม่ใส่ใจเรื่องการออกเสียง
อย่างถูกต้อง คำว่า them ในสถานการณ์นี้ มีความหมายว่า คำพูด ประโยค Say em loud จึงให้ความหมายว่า พูดดังๆ และ Say em clear หมายถึง
ให้พูดชัดๆ
up to กับ no good
to be up to หมายถึง ทำ อะไรบางอย่าง เช่นในคำถามนิยมว่า What are you up to? (ทำอะไรอยู่) การใช้ up to อย่างนี้ให้ความหมายเป็นนัยว่า สิ่งที่กระทำอยู่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ถูก อาทิ คุณพ่อคุณแม่ใช้ What are you up to? กับลูกเวลาเขาเมื่อสงสัยว่าลูกกำลังแอบทำอะไรที่ไม่ดี หรือซน จากความหมายนี้เราสามารถเดาความหมายของ to be up to no good ซึ่งหมายถึง ทำอะไรที่ไม่ดี
ดังนั้น I knew by the look on his face he was up to no good. ให้ความหมายว่า ผมรู้จากการแสดงออกทางใบหน้าว่าเขาทำอะไรไม่ดี
envy กับ jealous.
envy กับ jealous ไม่เหมือนกันคือ jealous แรงกว่า envy เพราะ envy เป็นทั้งนามและกริยา ในตัวอย่างที่เป็นกริยา I envy you หมายถึง
ผมอิจฉาคุณ แต่ผมยังชอบคุณไม่ถึงเกลียด เช่น..I envy Sorrayut. Hes tall, handsome and he has a beautiful girlfriend.(ผมอิจฉาคุณ
สรยุทธ เขาตัวสูง รูปหล่อ และยังมีแฟนสวยงาม...)แต่ jealous นำมาใช้เป็นกริยาไม่ได้ จะใช้ I jealous you. ไม่ได้ ต้องเป็น I am jealous of you.
เพราะว่า jealous เป็น adjective ครับ คำนามคือ jealousy
สรุปว่า envy = verb + noun = อิจฉา envious = adjective = ซึ่งอิจฉา jealous = adjective = ซึ่งอิจฉา jealousy = ความอิจฉาริษยา
อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1362020#ixzz1EXrIPxV1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น